10 หนังรัก LGBT โคตรดีงามที่อยู่ในลิสต์หนังต้องดูก่อนตาย
10 หนังรัก LGBT ที่โคตรดีงาม ยุคนี้เป็นยุคที่ผู้คนใส่ใจเรื่องความเท่าเทียมและเคารพสิทธิของผู้อื่นมากขึ้น เป็นผลทำให้ชาว LGBT เริ่มได้รับการยอมรับและสามารถใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างมีอิสระมากขึ้นกว่าเดิม
LGBT คืออะไร
เมื่อพูดถึง LGBT หลายคนคงนึกถึงเพศที่ 3 กันเป็นส่วนมาก แต่ว่าอันที่จริงแล้วคำนี้มีความหมายกว้างกว่านั้นเพราะมันไม่ได้จำกัดแค่เฉพาะเพศที่ 3 แต่ว่ามีความหมายครอบคลุมรวมไปถึงผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศทั้งหมดด้วย สำหรับตัวอักษรของแต่ละตัวของคำว่า LGBT นั้นมีที่มาจากคำ 4คำ ดังนี้
- L : Lesbian คือ ผู้หญิงที่ชอบผู้หญิงด้วยกัน
- G : Gay คือ ผู้ชายที่ชอบผู้ชายด้วยกัน
- B : Bisexual คือ ผู้ที่นิยมชมชอบได้ทั้งสองเพศ
- T : Transgender คือ คนข้ามเพศ ซึ่งมีทั้งผู้หญิงและผู้ชายข้ามเพศ
แต่ว่าในโลกนี้มีเพศสภาพที่หลากหลายกว่านี้มาก เพราะฉะนั้นถึงแม้ LGBT จะย่อมาจากคำแค่ 4 คำ ก็ถูกนำมาใช้แทนกลุ่มผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศทั้งหมด แต่ก่อนกลุ่มคนกลุ่มนี้ไม่ได้รับการยอมรับมากเท่าใดนัก แต่ปัจจุบันนี้สังคมเปิดกว้างมากขึ้น ทุกคนทุกเพศมีสิทธิที่จะรักในแบบของตัวเอง เพราะฉะนั้นวันนี้เราจึงได้รวบรวม 10 หนัง LGBT ที่ดีงามมากจนดูแล้วรู้เลยว่าความรักในรูปแบบที่ไม่ใช่ชายหญิงก็สวยงามไม่แพ้กันเลย
คุณอาจสนใจบทความนี้ อ่านต่อ เปิดวาร์ป! 10 แอพหาคู่ ที่คนโสดต้องมี งานดี งานพรีเมี่ยม ทั้งนั้น
1.Dog Day Afternoon (1975)
หนังเรื่องนี้ฉายเมื่อกว่า 40 ปีก่อน ในยุคนั้นอย่าว่าแต่การยอมรับกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศเลย มันแทบเป็นไปไม่ได้เพราะยุคนี้คนกลุ่มนี้แทบไม่ต่างไปจากตัวประหลาด เพราะฉะนั้นการสื่อสาธารณะอย่างภาพยนตร์ที่พูดถึงประเด็นของ LGBT ที่ตรงไปตรงมาถือเป็นเรื่องที่บ้าบิ่นเอามากๆ หนังเรื่องนี้สร้างจากเหตุการณ์จริงของคู่รักชายคู่หนึ่งอย่าง ซันนี่และแซล ที่ปล้นธนาคารเพื่อเอาเงินไปผ่าตัดแปลงเพศแต่ด้วยความด้อยประสบการณ์ จึงไม่น่าแปลกใจที่ตำรวจจะล่วงรู้ถึงแผนการด้วย ดังนั้นฉากสำคัญของเรื่องจึงอยู่ที่การเจรจาต่อรองกับตำรวจนั่นเอง
หนังเรื่องนี้มี Al Pacino มารับบทนำในการแสดง ซึ่งก่อนหน้านี้ 3 ปีเขาเพิ่งได้รับบทมาเฟียสุดสุขุมใน The Godfather มาก่อน แต่เรื่องนี้กลับได้บทเกย์หนุ่มเลือดร้อน นับว่าเป็นการพลิกบทบาทครั้งใหญ่เลยทีเดียว แต่เขาก็แสดงจับใจคนดูได้อย่างอยู่หมัด นอกจากตัวนักแสดงจะได้เสียงชื่นชมกันอย่างล้นหลามแล้ว ทีมผู้สร้างเองก็ได้รับคำชมมากไม่แพ้กัน จนทำให้หนังเรื่องนี้เข้าชิงรางวัลออสการ์ถึง 6 สาขาด้วยกันแล้วยังได้รางวัลมาหนึ่งรางวัลด้วย
นอกจากตัวหนังจะสื่อถึงประเด็นของ LGBT แล้ว หนังจะยังกล่าวถึงเรื่องสภาพเศรษฐกิจ สังคม การเมืองรวมไปถึงการเหยียดผิวในยุคนั้นด้วย เรียกว่าเสียดสีกันได้แบบเผ็ดร้อนสุดๆ ใครเป็นผู้นำประเทศในยุคนั้นต้องมีร้อนๆหนาวๆกันบ้างอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นไปดูเถอะ ไม่อยากให้พลาดด้วยประการทั้งปวง
คุณอาจสนใจบทความนี้ อ่านต่อ อาหารเสริมผู้ชาย ทั้ง 10 เพิ่มสมรรถภาพ เติมรักได้เต็มที่
2.Happy Together (1997)
อีกหนึ่งภาพยนตร์ LGBT น้ำดีจากฝีมือของผู้กำกับอย่าง หว่อง กาไว ที่สามารถการันตรีออกมาได้เลยว่าเป็นหนังที่ยอดเยี่ยมอย่างแน่นอน หนังเรื่องนี้เป็นเรื่องราวของคู่รักชายชาวฮ่องกงคู่หนึ่งที่หอบผ้าผ่อนไปอยู่ด้วยกันที่อาร์เจนติน่าเพื่อดูน้ำตาอีกัวซูด้วยกัน จนในที่สุดก็ถังแตกจนต้องพยายามหาเลี้ยงชีวิตให้อยู่รอดให้ได้ในต่างบ้านต่างเมือง ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เป็นไปแบบรักๆเลิกๆ ทั้งรักและเกลียดแต่ก็ตัดกันไม่ขาด วันหนึ่งพวกเขาต้องแยกย้ายกันไปตามทางของตัวเองแต่สุดท้ายก็โคจรกลับมาพบกันอีก ในขณะที่สถานการณ์ชีวิตเปลี่ยนไป เพราะอีกคนเป็นไกด์นำเที่ยว อีกคนเป็นคนขายบริการทางเพศ แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยคือความรู้สึกของพวกเขาที่มีต่อกัน
หนังเรื่องนี้มีความเหงาในอยู่ในทุกอณู เรียกว่าเหงาบาดลึก เหงาจนเข้ากระดูก รวดร้าว เจ็บปวดแต่สวยงาม เรียกว่าเป็นหนังที่เหมาะสมกับคนเหงาเอามากๆเลยทีเดียว
3.Insects in the Backyard (2010)
หนังเรื่องนี้เป็นหนังไทยเรื่องเดียวของในลิสต์ ที่เอามาใส่ในลิสต์ด้วยไม่ใช่เพราะอยากจะเพิ่ม “หนังไทย” เข้าไป แต่ว่านี่เป็นหนังที่ทุกคนควรได้ดูจริงๆ แล้วรู้ไหมหรือไม่ว่านี่เป็นหนังที่เพิ่งถูกนำมาฉายเมื่อไม่นานมานี้เองทั้งที่ถ่ายทำเสร็จตั้งแต่ปี 2010 ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะถูกแบนยาวนานเกือบ 10 ปีเลยทีเดียว
หนังว่าด้วยเรื่องราวของสาวประเภทสองคนหนึ่งที่ต้องเป็นหัวหน้าครอบครัวดูแลน้องชายกับน้องสาวที่ดูจะไม่ชอบใจในความเป็นสาวประเภทสองของเธอมากนัก ในตอนนั้นประเทศไทยเองยังมีค่านิยมเรื่องผู้ชายเป็นใหญ่อยู่อย่างเข้มข้นมากๆทำให้หนังเรื่องนี้เป็นอะไรที่ฉีกกรอบวัฒนธรรมดั้งเดิมได้แบบไม่เหลือชิ้นดีเลยทีเดียว ถ้าฉายในตอนนั้นคงเรียกเสียงฮือฮาได้ไม่น้อยเลย จึงอยากให้ทุกคนมองเปิดใจดูหนังเรื่องนี้กันดูค่ะ
4. Brokeback Mountain (2005)
มาต่อกันที่หนัง LGBT ที่น่าจะดีงามมากที่สุดในหลังกลุ่มนี้ เพราะมันถูกกล่าวถึงไปทั่วโลก คว้ารางวัลออสการ์ไปได้ถึง 3 รางวัล ที่จริงอาจได้รางวัลใหญ่ไปเลยด้วยซ้ำถ้าไม่ถูกอคติจากกรรมการตัดสินมาบดบังเสียก่อน
หนังเรื่องนี้พูดถึงคาวบอยหนุ่ม 2 คนที่ต้องมาช่วยทำฟาร์มปสุสัตว์กันในที่ที่ห่างไกลความเจริญ ด้วยบรรยากาศที่เปลี่ยวเหงา ความรักที่ไม่ควรจะเกิดจึงเริ่มงอกงามขึ้นมาระหว่างชายหนุ่มทั้งสองคน เชื่อเหลือเกินว่าการดูหนังเรื่องนี้จะทำให้รู้สึกเชื่อได้อย่างสนิทใจว่านี่คือความรักจริงๆ ไม่แค่รักร่วมเพศ แต่เป็นความรักที่ปราศจาก “เพศ” มาเป็นตัวกำหนด สำหรับคนที่อยากจะเข้าใจในรักมากขึ้น อยากให้ลองมาสัมผัสความรักในหนังเรื่องนี้กันดูนะคะ รับรองว่าจะรู้สึกอิ่มเอมไปด้วยกันอย่างแน่นอน
5.Dallas Buyers Club (2013)
เป็นหนังอีกเรื่องที่สร้างแบบ Base on True Story เป็นเรื่องราวของนักสู้วัวกระทิงคนหนึ่งที่ชีวิตพังทลายลงเพราะพบว่าติดเชื้อ HIV ในยุคที่มักจะติดกันแค่ในหมู่คนรักร่วมเพศเท่านั้น เมื่อไปหาหมอคำตอบที่ได้รับก็คือ เขาจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่เกิน 1เดือนเท่านั้น แต่ด้วยเลือดนักสู้ที่มีอยู่ในตัวทำให้เขาไม่ยอมแพ้และหาวิธีอยู่ต่อให้นานที่สุด จนกระทั่งวันหนึ่งเขากลับได้รับความช่วยเหลือจากสาวประเภทสองคนหนึ่งที่เคยเกลียดมาก่อนหน้านี้
หนังเรื่องนี้ไม่ใช่หนังแนว LGBT ที่เล่นประเด็นความรัก ความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งมากเท่าไรนัก แต่จะนำเสนอในแง่มุมการอยู่ร่วมกันแบบเข้าอกเข้าใจและคอยช่วยเหลือกันมากกว่า สำหรับใครที่อยากได้กำลังใจหรือชาร์จพลังชีวิตเพิ่ม แนะนำเรื่องนี้เลยค่ะ รับประกันความสนุกด้วยรางวัลออสการ์เลยทีเดีย
6.Blue Is the Warmest Color (2013)
หนังเกือบทั้งหมดที่กล่าวถึงไปด้านบนเล่าถึงเรื่องราวความรักแบบชายรักชาย แต่นี่เป็นเรื่องแรกของลิสต์นี้ที่เป็นรักแบบผู้หญิงกับผู้หญิง ความดีงามของหนังเรื่องนี้การันตรีด้วยรางวัลปาล์มทองคำจากเทศกาลหนังเมืองคานส์ในปี 2013 ตัวหนังพูดถึงชีวิตของเด็กสาวชนชั้นแรงงานคนหนึ่งที่ชื่อ อเดล ที่วันหนึ่งชีวิตเธอได้เปลี่ยนไปเพราะพบรักกับสาวผมสีฟ้าขึ้น
นี่คือสุดยอดหนังรักโรแมนติกอีกเรื่องที่มีรสชาติแห่งความกลอมกล่อมแต่หนักหน่วงไปพร้อมกัน คุณจะได้เห็นความรักและความโรแมนติกที่ตัวละครมีให้กัน นอกจากนั้นยังเห็นตัวละครก้าวผ่านการจากลาและความเจ็บปวดไปพร้อมกันอีกด้วย ใครที่อยากอินกับหนังรักจนต้องบ่อน้ำตาแตก รับรองว่าหนังเรื่องนี้เป็นคำตอบที่ดีอย่างแน่นอน
7.Tangerine (2015)
มาต่อกันที่หนังอินดี้ฟอร์มเล็กอย่าง Tangerine กันบ้าง หนังเรื่องนี้มีจุดเด่นอยู่ที่การใช้โทรศัพท์มือถือ IPhone 5s ถ่ายตลอดทั้งเรื่อง พูดง่ายๆคือไม่ต้องใช้ทุนเยอะหรือดาราระดับ A-List มาแสดงนำ ก็สามารถสร้างหนังดีที่คนจดจำได้ ขอแค่มีบทที่ดีและวิธีการนำเสนอที่น่าสนใจก็เพียงพอแล้ว
หนังเรื่องนี้มีเรื่องย่อง่ายๆคือ สาวประเภทสอง 2 คนที่อยากจะตามหาชู้รักเพื่อเอาคืนให้สมใจ เป็นพล็อตเรื่องง่ายที่มีการนำเสนออย่างเฉียบขาด แถมยังใส่ประเด็นของ LGBT ลงไปมากพอสมควร นำไปสู่บทสรุปที่ว่าไม่ว่าจะเป็นเพศอะไรก็สมควรได้รับความรักที่ดีกันทั้งสิ้น
8.Carol (2015)
Carol เป็นหนัง LGBT แบบหญิงรักหญิงที่เล่นประเด็นความรักได้แบบหมื่นเหม่กับศีลธรรมได้แบบนุ่มนวลมากๆ เพราะตัวเองของเรื่องอย่าง Carol นั้นเป็นเศรษฐีใหญ่วัยกลางคนที่มีความรักกับช่างภาพสาววัยรุ่นทั้งที่ตัวเองก็มีครอบครัวอยู่แล้ว ถึงแม้ความรักครั้งนี้จะเป็นความรักต้องห้าม แต่มันก็งอกงามอย่างรวดเร็วจนหยุดไม่ได้ สุดท้ายตัวหนังก็นำไปสู่คำถามที่ว่าความรักกับศีลธรรมนั้นถูกผูกติดกันเอาไว้ด้วยกันหรือเปล่า เรียกว่าเป็นหนังที่สวยงาม อบอุ่นแต่ก็เหน็บหนาวไปในคราวเดียวกันเลยทีเดียว
9.Call Me by Your Name (2017)
ภาพยนต์เรื่องนี้ดัดแปลงมาจากนิยายขายดีเรื่องหนึ่ง เนื้อเรื่องนั้นเกี่ยวกับความรักของชายหนุ่มคู่หนึ่งที่มีฉากหลังเป็นประเทศอิตาลี แต่ว่าถึงแม้จะเป็นหนังรัก แต่หนังไม่ได้นำเสนอเรื่องความรักเป็นหลัก แต่กลับพูดถึงการก้าวข้ามผ่านช่วงวัยเสียมากกว่า ซึ่งผู้ชมจะได้เห็นการเจริญเติบโตและพัฒนาการของตัวละครแต่ละตัว ที่ถ่ายทอดออกมาได้อย่างอ่อนหวานและละเมียดละไม
หนังเรื่องนี้เป็นหนังฟอร์มเล็กอีกเรื่องที่ถ่ายทอดเรื่องราวออกมาได้อย่างสวยงาม งานภาพก็ดีเยี่ยม ส่วนบทนี่ไม่ต้องพูดถึง ดีงามมากการันตรีด้วยรางวัลออสการ์ 1 สาขาและเข้าชิงอีก 3 สาขาด้วย ถ้ารู้สึกว่าหนังเล็กๆแบบนี้ดียังไง ทำไมถึงได้เข้าชิงรางวัลมากมายแถมยังได้มาอีกรางวัลหนึ่งด้วย อยากให้ลองพิสูจน์ด้วยตัวเองกันค่ะ
10.Love, Simon (2018)
มาถึงเรื่องสุดท้ายอย่าง Love, Simon หนังเรื่องนี้มีความพิเศษกว่าเรื่องอื่นตรงที่โทนหนังมีความสดใสมากกว่า เป็นหนังสไตล์ romantic comedy ที่หาพบได้ยากในหนัง LGBT เพราะส่วนใหญ่แล้วจะออกแนวดราม่ามากกว่า โทนหนังจึงหม่นมัว แต่ไม่ใช่กับหนังเรื่องนี้
เรื่องราวมีอยู่ว่า ไซม่อน เด็กหนุ่มม.ปลายคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตแบบเด็กหนุ่มทั่วไป เว้นแต่ว่าเขาจะมีความลับบางอย่างซ่อนเอาไว้ ใช่แล้ว เขาเป็นเกย์นั่นเอง ทั้งนี้เขารู้ตัวเองมาตลอดว่าชอบเพศเดียวกันแต่เก็บเงียบเอาไว้ไม่บอกใครเพราะกลัวว่าสังคมและคนรอบข้างจะไม่ยอมรับในตัวเขา สุดท้ายแล้วพื้นที่ที่สามารถแสดงตัวตนได้ก็เหลือแค่ที่เดียวคือ โลกออนไลน์ ที่นั่นทำให้ไซม่อนพบกับคนคนหนึ่งที่ชื่อว่า “บูล” ผู้เป็นเกย์เหมือนกันกับเขา ด้วยความที่เหมือนกัน พวกเขาจึงเข้ากันได้ดีและ เวลาผ่านไปไซม่อนกลับหลงรักบูลทั้งที่ไม่รู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของเขาคือใคร รู้แค่เพียงว่าอยู่โรงเรียนเดียวกับเขาท่านั้นเอง แล้วเรื่องราวของเขาจะเป็นย่างไรต่อไป ความสัมพันธุจะราบรื่นดีหรือไม่ ลองไปหาคำตอบกันดูนะคะ